วันอังคารที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

การติดตั้งโคมไฟในบ้าน

Posted by M.R. K | วันอังคารที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555 | Category: | 0 ความคิดเห็น


          โคมไฟเพดาน มีอยู่หลายแบบ ทั้งไฟที่ติดกับเพดาน ไฟที่ห้อยจากเพดาน และไฟที่ฝังลงในฝ้า-เพดาน สามารถเลือกใช้ผสมกันได้ โดย 2 แบบแรกใช้ส่องสว่างทั่วทั้งห้อง ส่วนแบบที่ 3 ใช้เน้นเฉพาะจุดและสามารถปรับความสว่างได้ด้วยดิมเมอร์

โคมไฟตั้งพื้น / ตั้งโต๊ะ เพื่อส่องเน้นบนโต๊ะทำงาน หรือสำหรับมุมที่ต้องการแสงสว่างเป็นพิเศษ โคมไฟประเภทนี้จึงควรปรับทิศทางและระดับในการส่องสว่างได้

โคมไฟฝังพื้น / ติดผนัง ส่วนใหญ่ใช้ส่องสว่างบริเวณทางเดินหรือบันได หากเป็นโคมไฟติดผนังมักติดตั้งให้ส่องแสงขึ้นบน หรืองล่างเพื่อไม่ให้แสงส่องสว่างกระทบกับผู้ใช้โดยตรง


ประเภทของหลอดไฟ
ฟลูออเรสเซ้นต์ นิยมใช้ส่องสว่างในบริเวณทั่วไป แสงมีลักษณะฟุ้งกระจาย

ฮาโลเจน เป็นหลอดไฟที่ให้แสงสีเหลืองเหมือนหลอดไส้ แต่มีอายุการใช้งานยาวนานกว่า ลักษณะของแสงมีความคมมากกว่าฟลูออเรสเซ้นต์ จึงนิยมใช้สำหรับการตกแต่ง

LED นิยมใช้ในงานตกแต่งเพราะมีสีสันหากหลายมีขนาดเล็ก และให้แสงสว่างที่ไม่ร้อน


ข้อคิดการออกแบบไฟฟ้าแสงสว่าง

     Light Solutions เพราะแสงไฟไม่ได้ทำหน้าที่ส่องสว่างอย่างเดียว แต่ยังสร้างบรรยากาศดีๆ เพื่อให้เกิดแรงบันดาลใจในการทำงานอีกด้วย

เลือกดวงโคมให้ตรงกับการใช้งาน แทนที่จะวางตำแหน่งโคมให้แสงสว่างกระจายไปทั่วบริเวณ อาจจะเลือกให้แสงสว่างเฉพาะในบริเวณที่ต้องการความสว่างสูง เช่น บริเวณโต๊ะทำงาน โดยให้แสงสว่างบริเวณอื่นลดลง วิธีนี้จะช่วยลดภาระไฟฟ้าแสงสว่างต่อพื้นที่ห้องลงได้มาก แต่ควรต้องระวังไม่ให้ความสว่างในแต่ละพื้นที่ต่างกันมากเกินไป จะทำให้สายตาปรับสภาพได้ยาก
แยกวงจรไฟฟ้าให้เหมาะสม ควรออกแบบการแยกวงจรไฟฟ้าให้เหมาะสมกับการใช้งาน โดยออกแบบให้บริเวณที่ต้องการใช้แสงสว่างเหมือนกัน เช่น ดวงโคมที่ใช้งานในช่วงเวลาเดียวกันอยู่ในวงจรเดียวกัน เพื่อช่วยลดจำนวนดวงโคมที่ไม่ได้ใช้งานลง


ใช้แสงประดิษฐ์ร่วมกับแสงธรรมชาติ การใช้แสงธรรมชาติเข้ามาในบ้านจะทำให้ลดการใช้งานแสงประดิษฐ์ ในพื้นที่ที่แสงธรรมชาติเข้ามาถึง ควรแยกวงจรสวิตซ์ที่อยู่แนวหน้าต่างออกมาต่างหาก เพื่อปิดการใช้งานในเวลาที่ใช้แสงธรรมชาติแทนแต่ต้องคำนึงถึงเรื่องความร้อนที่เข้ามาด้วย

ลดช่วงเวลาการใช้งานด้วยอุปกรณ์ไฮเทค เช่น ใช้เซ็นเซอร์ตรวจจับความเคลื่อนไหวในการเปิด-ปิดไฟ แทนการใช้สวิตซ์ในส่วนที่ไม่ต้องการเปิดตลอดเวลา หรือการใช้สวิตซ์ตั้งเวลาเปิด-ปิดสำหรับส่วนที่มีช่วงเวลาเปิด-ปิดไฟที่แน่นอน เช่น สวนนอกบ้าน เพื่อช่วยลดช่วงเวลาที่ไม่ได้ใช้งานลง

เลือกใช้อุปกรณ์ที่มีประสิทธิภาพสูง ควรเลือกใช้หลอดประหยัดพลังงานที่ให้ความสว่างเท่ากันหรือมากกว่า แต่ใช้วัตต์น้อยลง และเลือกใช้อุปกรณ์ที่มีประสิทธิภาพสูง เช่น อิเล็กทรอนิกส์บัลลาสต์ นอกจากนี้ควรเปลี่ยนอุปกรณ์ตามอายุการใช้งาน เนื่องจากหลอดไฟหากใช้งานใกล้หมดอายุ ประสิทธิภาพจะลดลงมาก แต่กินไฟเท่าเดิม และหมั่นทำความสะอาดดวงโคมเป็นประจำก็จะช่วยให้ดวงโคมมีประสิทธิภาพสูงขึ้นและสว่างขึ้น แต่สิ่งที่สำคัญที่สุด คือการเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้งาน


ขอขอบคุณบทความจาก  :  http://siamhomedecoration.com    โดย  ยูเรก้า


สนับสนุนโดย : www.skythailandshop.com

























วันจันทร์ที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

การแต่งไฟประดับบ้าน

Posted by M.R. K | วันจันทร์ที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555 | Category: | 0 ความคิดเห็น


    การตกแต่งบ้าน ตามสไตล์ของแต่ละบุคคล ตามสไตล์ความชื่นชอบ และอีกสิ่งหนึ่งที่ช่วยเสริมความสวยงามของบ้าน คือเรื่องแสงไฟที่มาช่วยเสริมบรรยากาศ หรือเป็นตัวหลักในการนำอารมณ์ และความสวยงามของพื้นที่นั้นๆ ให้แสดงออกมาได้อย่างตรงความต้องการของการใช้งานมากที่สุด 

ไฟส่องสว่างทั่วไป (Ambient Light) เป็นแสงพื้นฐานที่ช่วยให้เรามองเห็นสิ่งต่างๆ ภายในห้องให้แสงบริเวณกว้าง

โคมไฟชนิดตั้งพื้น (Torchiere) จะสะท้อนเพดาน  และให้แสงวงกว้างและนุ่มนวล

โคมไฟระย้า (Chandelier) ถูกนำมาใช้เพื่อเพิ่มสไตล์การตกแต่ง ให้ดูเก๋ขึ้น หรูหรา และทำให้ห้องดูโดเด่น


โคมไฟตั้งโต๊ะ (Task Light) เน้นวางเฉพาะจุด เช่น มุมอ่านหนังสือ หรือทำงาน ซึ่งจะสามารถเคลื่อนย้าย ปรับตำแหน่งหรือมุมได้สะดวก ซึ่งมีให้เลือกหลากหลาย แต่ต้องดูที่กำลังวัตต์ด้วย เพื่อให้ได้รับแสงสว่างที่เพียงพอ

แสงไฟที่เน้นเฉพาะจุด (Accent Light) มักนำมาใช้เพื่อเสริมบรรยากาศ เน้นด้านอารมณ์ ความรู้สึก เช่น ส่องไปที่รูปภาพ ของตกแต่ง เป็นต้น ซึ่งสามารถใช้หลอดไฟที่มีกำลังวัตต์ต่ำเพื่อเสริมให้สิ่งของเหล่านั้นดูเด่นขึ้น หรือหากต้องการโคมไฟที่ต้องการเปิดทิ้งไว้ทั้งคืนในห้องนอน ควรเลือกที่มีแสงสว่างน้อยเฉพาะจุด

โคมไฟในท้องตลาดมีอยู่มากมายหลายแบบ วิ่งหาซื้อได้จากตามร้านทั่วไป มีแบรนด์ และไม่มีแบรนด์ รวมถึงร้านขายของเก่า ซึ่งหากเลือกดีๆ ก็สามารถได้ของคุณภาพในสไตล์วินเทจด้วย ซึ่งเราสามารถเลือกมาใช้ในการตกแต่งห้องในแบบของตัวเอง สร้างบรรยากาศให้บ้านดูสงบ โรแมนติก หรือสนุกสนานเพิ่มขึ้นด้วยการผสมผสานการจัดแสงในแบบต่างๆ ให้ลงตัวลองมาสร้างสรรค์อารมณ์ด้วยแสงไฟผ่านฝีมือของคุณเอง



ความรู้เรื่องแสงสว่าง   แสงสว่างมีกี่แบบ

Ambient Light เน้นส่องแสงกระจายไปทั่วบริเวณหรือภายในห้อง เช่นแสงจากหลอดไฟฟลูออเรสเช้นต์บนเพดาน

Task Light หากต้องนั่งทำงานเป็นเวลานาน เช่น เขียนหนังสือ ควรมีดวงโคมส่องสว่างในจุดนั้นโดยเฉพาะ

Accent Light เป็นแสงสว่างที่สร้างความน่าสนใจให้กับห้อง โดยส่องเน้นไปที่ของสะสมหรือรูปภาพบนผนัง

Decorative Light แสงประเภทนี้อาจไม่ได้ส่องเน้นไปที่ไหน แต่ตัวโคม และสีของแสงนั่นเองที่เป็นจุดน่าสนใจ

ขอขอบคุณบทความจาก  :  http://siamhomedecoration.com  โดย  ยูเรก้า


สนับสนุนโดย : www.skythailandshop.com






















วันศุกร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

แต่งคอนโดห้องเล็กๆ ไม่ให้อึดอัด

Posted by M.R. K | วันศุกร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555 | Category: | 0 ความคิดเห็น


     ด้วยไลฟ์สไตล์ของคนเมืองในปัจจุบันเริ่มย้ายออกจากบ้านมาอยู่คอนโดมิเนียมกันมากขึ้น ความกว้างขวางและมีที่ทางในการเดินยืดเส้นยืดสายรอบ ๆ บ้านได้ถูกชดเชยด้วยความสะดวกสบายจากการย้ายมาอยู่ตึกสูง ๆ ในทำเลที่อำนวยให้คุณไปทำงานหรือใช้ชีวิตได้สะดวกกว่า แต่ก็ต้องแลกกับการอยู่ในห้องที่มีพื้นที่จำกัด และดูคับแคบลงไปถนัดเมื่อเทียบกับบ้านหลังเดิม แต่เมื่อตัดสินใจเป็นเจ้าของห้องคอนโดเล็ก ๆ แล้ว ก็ต้องหาวิธีให้ให้ผู้อาศัยอย่างเรา ๆ อยู่กันได้อย่างสบายอกสบายใจไม่อุดอู้  เคล็ดลับในการแต่งห้องเล็กไม่ให้ดูอึดอัด   เหมาะกับผู้อยู่อาศัยให้ห้องคอนโด หรือว่าห้องเล็ก ๆ


1. ผสมผสานการจัดวางเฟอร์นิเจอร์ชิ้นเตี้ยและสูง

          หัวใจสำคัญของการอยู่ให้สบายในห้องเล็ก ๆ คือต้องทำบรรยากาศของห้องไม่ให้เหมือนกำลังอยู่ในกล่อง เฟอร์นิเจอร์ชิ้นสูงใหญ่ทำให้ห้องดูแคบ ส่วนเฟอร์นิเจอร์ชิ้นเล็ก ๆ เตี้ย ๆ ก็ทำให้รู้สึกว่าอยู่ในห้องผิดส่วนผิดขนาด แต่ถ้าลองนำมันมาจัดวางรวมกันอย่างพอดี ๆ ก็จะช่วยถ่วงดุลกันได้ และให้ความรู้สึกว่าห้องดูไม่คับแคบด้วย

2. ใช้สีตัดกันเพื่อสร้างความรู้สึก

          ในห้องเล็ก ๆ นั้นไม่อาจจัดแต่งด้วยของประดับมากชิ้นได้เพราะจะดูหนักห้องมากเกินไป ทดแทนรายละเอียดที่ไม่สามารถใส่ลงไปได้เหล่านั้น ด้วยการเลือกใช้ลวดลายของผนัง หรือเฟอร์นิเจอร์ชิ้นหลัก ๆ ที่ตัดกับสีสันของห้อง อย่างบานประตูสีเหลืองสดกับห้องสีขาว หรือลวดลายแนวกราฟฟิกบนผนังก็ทำให้ห้องเล็ก ๆ ดูคูลขึ้นมาได้ โดยไม่ต้องอาศัยการตกแต่งอื่น ๆ เพิ่มเลย



3. เลือกใช้เก้าอี้ไม่แบบไม่มีที่วางแขน

          เก้าอี้แบบไม่มีที่วางแขนนั้นเหมาะกับห้องเล็ก ๆ เป็นที่สุด เพราะมันทำให้ลุกนั่งสะดวกไม่ติดขัด ดูโปร่งกว่า ไม่เกะกะสายตา และยังกลมกลืนกับเฟอร์นิเจอร์อื่น ๆ ได้ดีเมื่อยกย้ายไปที่บริเวณต่าง ๆ ของห้องด้วย

4. เตียงคิงไซส์

          ข้อนี้อ่านแล้วอาจจะนึกสงสัยว่าถ้าห้องเล็กแล้วทำไมถึงแนะนำให้ใช้เตียงคิงไซส์ นั่นก็เพราะว่าแม้จะมีห้องเล็กแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าคุณจะต้องเลือกใช้แต่ของไซส์มินิเสมอไป การเลือกใช้เฟอร์นิเจอร์บางชิ้นให้มีขนาดใหญ่ ก็สามารถเป็นการสร้างความโดดเด่นให้กับห้องได้เป็นอย่างดี ยิ่งไปกว่านั้นการพักผ่อนที่แสนสบายคือสิ่งที่คุณควรจะได้ไม่ว่าห้องจะเล็กแค่ไหน เลือกเตียงใหญ่ ๆ ที่นอนได้สบาย และจัดวางเว้นออกจากผนังสักนิด สร้างพื้นที่การพักผ่อนที่ใคร ๆ ก็ต้องอิจฉาขึ้นมาในห้องแสนสุขของคุณ


5. สร้างพื้นที่ใช้งานที่โดดเด่น

          ในห้องเล็ก ๆ โล่ง ๆ หากปล่อยให้พื้นที่ไหลมาเชื่อมกันหมดก็จะดูจืดชืดเกินไป คุณสามารถสร้างพื้นที่เพื่อใช้ประโยชน์เฉพาะด้านได้ด้วยใช้พรมปูพื้นเพื่อแบ่งสัดส่วนการใช้งาน อย่างพรมผืนโต ๆ ที่บริเวณหน้าทีวี หรือที่มุมอ่านหนังสือ นอกจากทำให้พื้นที่ใช้งานตรงนั้นโดดเด่นขึ้นมา ห้องไม่ดูจืดชืดแล้ว ยังดูเป็นสัดส่วนดี และไม่คับแคบเหมือนการแบ่งพื้นที่ด้วยตู้ หรือชั้นวางของด้วย

6. ติดผ้าม่านจากเพดานลงมา

          ปกติเรามักติดรางผ้าม่านกันที่เหนือขอบหน้าต่าง แต่หากเป็นห้องเล็ก ๆ และต้องการหลอกตาให้ดูใหญ่ขึ้นล่ะก็ ลองเปลี่ยนไปติดรางผ้าม่านที่สุดผนังชิดเพดานดู ผ้าม่านที่ทิ้งตัวเต็มผนังจากเพดานลงมา จะทำให้รู้สึกเหมือนมีหน้าต่างบานสูงใหญ่ ทำให้ห้องดูกว้างขึ้นได้

7. ติดตั้งชั้นวางของเหนือแพนทรีเตรียมอาหาร

          ปกติพื้นที่เหนือแพนทรีมักกลายเป็นส่วนของตู้ลอยตัวเพื่อใช้เก็บจานชามและอาหารแห้งต่าง ๆ แต่หน้าบานตู้ก็ชวนให้รู้สึกอึดอัดและคับแคบได้ หากลองเปลี่ยนเป็นติดตั้งชั้นเปลือยแทน ก็จะทำให้ดูโปร่งโล่งตาขึ้น และยังใช้วางข้าวของได้เช่นเดิม


8. ใช้เฟอร์นิเจอร์ทรงกลมมน

          เปลี่ยนจากการใช้เฟอร์นิเจอร์รูปเหลี่ยม หรือมีมุมเหลี่ยม เป็นเฟอร์นิเจอร์ทรงกลม ทรงรี หรือมีปลายโค้งมนแทน ก็จะช่วยลดทอนความรู้สึกเหมือนอยู่ในกล่องสี่เหลี่ยมได้ และยังให้ความรู้สึกอ่อนนุ่ม ไม่แข็งทื่อจนเกินไปอีกด้วย

9. ใช้ลายทางเพิ่มความยาว

          เพิ่มความยาวให้ห้องดูยืดออกไป ด้วยการการใช้เส้นสายในแนวยาว อย่างลวดลายแนวยาวที่ฝ้าเพดานหรือบนพื้นห้อง ทำให้ห้องดูสูงโปร่ง โล่งสบาย ไม่อึดอัดมากนัก

10. ใช้ประตูและหน้าบานกระจก

          อย่างที่กล่าวไว้ว่าหน้าบานมักทำให้ห้องรู้สึกทึบตัน ถ้าอย่างนั้นลองเปลี่ยนมาเป็นหน้าบานกระจก ไม่ว่าจะเป็นหน้าบานของตู้เก็บของ หรือประตูของส่วนวอล์ค-อิน โคลเซ็ท เมื่อพื้นที่แคบ ๆ ได้แสงสว่างส่องทั่วถึง และห้องมีประกายความแวววาวจากเงาสะท้อนของกระจก ก็ช่วยให้รู้สึกโปร่งโล่งขึ้นได้ดีทีเดียว ใครที่เป็นเจ้าของห้องเล็ก ๆ และอยากจะทำให้มันดูโปร่งโล่ง อยู่สบายขึ้น อย่าลืมนำไปใช้กันดูนะครับ


ขอบคุณบทความดีๆ จาก : กระปุกดอทคอม


สนับสนุนโดย   www.skythailandshop.com























การตกแต่งห้องนอนในหลาย ๆสไตล์

Posted by M.R. K | | Category: | 0 ความคิดเห็น



          1. สวยเปลือยทันสมัย ความสวยงามทันสมัยที่แฝงมากับความดิบของพื้นผิวผนังคอนกรีต ได้รับความนิยมแพร่หลายในกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ต้องการความสวยทันสมัย แต่ไม่ต้องการความเนี้ยบเรียบร้อยในสไตล์โมเดิร์นพื้นผิวไม่ราบเรียบของผนังคอนกรีต มีสีสันและลวดลายที่น่าสนใจแตกต่างไปจากทุกมุมมองและตามสภาพแสง คุณสามารถเล่นกับพื้นผิวคอนกรีตเปลือยได้อย่างน่าสนใจโดยไม่ต้องพึ่งวัสดุตกแต่งชนิดอื่น ๆไม่ว่าจะเป็นการเว้นช่องวงกลมขณะก่อสร้าง การฉาบให้มีร่องริ้วรอยหรือการใช้แม่แบบหล่อทำให้เกิดลวดลายในตัว เช่น ลายผิวไม้จากแม่แบบไม้การใช้ผนังคอนกรีตเปลือยที่สวยเด่นเป็นพระเอกของห้องนอนนั้น คุณไม่จำเป็นต้องตกแต่งด้วยของตกแต่งโทนสีอื่นๆ ที่อาจไปดึงความโดดเด่นไปจากผนังคอนกรีตได้ ควรเลือกใช้โทนสีขาว สีเทารวมทั้งสีของไม้ธรรมชาติที่ดูเป็นสีกลาง


          2. โมเดิร์นมากประโยชน์ ความสวยงามเรียบง่ายของสไตล์โมเดิร์นใช้เฟอร์นิเจอร์ทรงเรียบและน้อยชิ้นในการตกแต่ง เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความโปร่งสบาย แลดูไม่รกสายตา นิยมใช้สีขาวเป็นหลักการตกแต่งในสไตล์โมเดิร์นที่ลงตัว ทุกสิ่งทุกอย่างจะมีการออกแบบให้มีความสวยงามแบบเรียบง่าย ขณะเดียวกันมีประโยชน์ใช้สอยพื้นที่เก็บของเช่น ตู้เสื้อผ้า จะถูกออกแบบให้ดูกลืนหายราวกับเป็นผนังเรียบ ชั้นวางของถูกออกแบบให้มีเส้นสายเรียบง่ายอย่างมีจังหวะจะโคนดูสวยงามราวรูปทรงกราฟฟิก นอกจากนี้ควรเพิ่มสีสันเติมไฮไลท์ให้ภายในห้องดูอบอุ่นสดใส อย่าปล่อยให้ห้องดูขาวโพลน แห้งแล้งและแข็งกระด้างจนเกินไปสามารถทำได้ง่ายๆ โดยใช้ของตกแต่ง เช่น แจกันหมอนอิง หรือภาพเขียน



          3. สดใสง่ายดาย ปรับโฉมห้องนอนให้สวยงามสดใสหายน่าเบื่ออย่างง่ายดาย ด้วยการเล่นกับสีสัน เริ่มต้นด้วยการทาสีผนังอันเป็นพื้นที่ส่วนใหญ่ของห้องเลือกสีที่คุณถูกใจ หรือวัดใจลองเล่นกับสีใหม่ๆสีที่เหมาะสมกับการพักผ่อนในห้องนอนคือสีโทนอ่อนสบายตา สีฟ้าอ่อน ช่วยให้รู้สึกสดใสร่าเริงในยามตื่นนอน สีเขียวอ่อนช่วยให้จิตใจผ่อนคลายหายเครียด สีชมพูอ่อนสดใสดูแล้วชื่นใจแต่ไม่ควรใช้เป็นสัดส่วนที่มากเกินไป อาจทำให้ห้องดูแล้วไม่ผ่อนคลาย สีม่วงอ่อน ช่วยผ่อ น ค ล า ย ไ ด้ดีเ ช่น เ ดีย ว กับ สีเ ขีย ว อ่อ นสีเหลืองดูอบอุ่นสบายใจ ช่วยให้ร่าเริง แต่ไม่ควรทาสีเหลืองทั้งห้อง อาจร่าเริงจนนอนหลับไม่ลงก็ได้

          4. หรูเข้มวินเทจ ใครที่ชื่นชอบอารมณ์หรูหรา แต่ไม่ชอบความอลังการฟู่ฟ่าของสไตล์คลาสสิก คงต้องลองมาดูสไตล์ตกแต่งแบบวินเทจที่แฝงไว้ด้วยเสน่ห์หรูหราแต่อบอุ่นคุ้นตาราวกับบ้านคุณคุณปู่คุณย่า สไตล์วินเทจสวยโดดเด่นด้วยเฟอร์นิเจอร์ลอยตัวประเภทเตียงโลหะดัดโค้งสวยหรู และเก้าอี้เดี่ยวไม้แกะสลักทรงอ่อนช้อยเน้นของตกแต่งโทนสีเข้มหลากหลาย โทนสีแดงสีน้ำตาล สีน้ำเงิน หรือสีดำ ตัดกับห้องสีขาวสว่างการตกแต่งสไตล์วินเทจอาจไม่เหมาะสำหรับทุกคน เพราะบรรดาเฟอร์นิเจอร์ทรงโบราณอาจชวนให้คนขวัญอ่อนนอนสะดุ้งทั้งคืน



          5. อารมณ์คันทรี่ การตกแต่งแนวคันทรี่เป็นที่ชื่นชอบของผู้คนจำนวนมาก และติดอันดับสไตล์ยอดนิยมตลอดกาล สวยงามด้วยโทนสีและเนื้อไม้ธรรมชาติ สะท้อนความอบอุ่นน่าพักผ่อน โดยมีการนำสีสันและลวดลายของของตกแต่งมาใช้ช่วยสะท้อนภาพลักษณ์ให้สดใสสวยงามมากขึ้นถ้าคุณชอบแนวเรียบง่าย ให้เลือกใช้ผ้าสีพื้นแนวธรรมชาติ หรือสีโทนอ่อน สำหรับอารมณ์สวยสะอาดแฝงความสนุกสนาน ควรเลือกใช้ลายตาราง และสำหรับคนที่ต้องการแซมความสวยหวานให้มองหาผ้าสวยลายดอกไม้


          6. พักผ่อนสายกลาง การตกแต่งในห้องนอนมีบรรยากาศน่าสบายอย่างร่วมสมัย เน้นความลงตัวของโทนสี และเฟอร์นิเจอร์ทรงสบายตาช่วยให้ห้องนอนของคุณสวยทนเหนือกระแสนิยมทุกรูปแบบ กฎพื้นฐานของการตกแต่งแบบร่วมสมัยสายกลาง ดูอบอุ่นน่าพักผ่อน ในขณะที่สวยเรียบทันสมัย และสว่างไสวโล่งสบายตา คือการเลือกใช้โทนสีกลางของไม้ธรรมชาติ สีเทา และสีขาวเลือกใช้เฟอร์นิเจอร์ทรงเรียบง่ายมีลูกเล่นสวยมีสไตล์ ไม่ฟู่ฟ่าเกินไป รวมทั้งนำสีสันเข้ามาแต่งเติมเล็กน้อยเพิ่มความสดใสมากกว่าเป็นการสร้างจุดเด่น ห้องนอนลักษณะนี้มีบรรยากาศน่าพักผ่อน แม้จะดูเ รีย บ ง่า ย แ ต่ถ้า ดูกัน ลึก ซึ้ง แ ล้วไม่ธรรมดา



ขอบคุณบทความดีๆ จาก : http://www.thaiproperty.in.th


สนับสนุนโดย   www.skythailandshop.com


















ฮวงจุ้ยห้องนอนเด็ก

Posted by M.R. K | | Category: | 0 ความคิดเห็น



       ในครอบครัวซึ่งมีสมาชิกในบ้านเป็นเด็กเล็ก วัยต่าง ๆ กันและมีจำนวนมากกว่า 1 คนนั้น คุณพ่อคุณแม่อาจจะนึกถึงการประหยัดพื้นที่ ด้วยการ จัดห้องนอนเด็กเล็ก 2 คนให้นอนอยู่ด้วยกัน ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าเป็นสิ่งที่ไม่ควรกระทำนะคะ เพียงแต่เราอาจจะต้องพิจารณาถึงการจัดวางเฟอร์นิเจอร์และรูปแบบห้องให้ถูกหลัก ฮวงจุ้ย และให้เหมาะสมกับการใช้งานของเด็ก ๆ กันให้ดีสักนิดหนึ่ง


        สำหรับพ่อแม่ที่เลือกเตียงที่มีลักษณะ 2 ชั้นให้ลูกนอน เนื่องจากมีราคาไม่แพงและช่วยประหยัดเนื้อที่นั้นในหลักแห่งฮวงจุ้ยถือว่าไม่ส่งผลดีต่อเด็กสักเท่าไหร่ค่ะ เนื่องจากเตียง 2 ชั้น มักจะทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่างเด็กและทำให้เกิดความสับสนในจิตใจได้

        ในส่วนของการจัดเตียง หากจัดเตียงให้อยู่ชิดติดกับหน้าต่างมากเกินไป ก็ไม่ใช่เรื่องดี เนื่องจากอาจก่อให้เกิดอันตราย พลัดตกลงไปจนถึงขั้นบาดเจ็บเสียชีวิตได้ อีกทั้งเมื่อสภาพอากาศเปลี่ยน เช่น ช่วงหน้าฝนหรือหน้ิาหนาว ก็จะทำให้เด็กเจ็บป่วยได้ง่าย

       การจัด เตียงนอนเด็ก ไว้ใกล้หน้าต่าง ยังทำให้เด็กกลายเป็นคนที่ชอบเหม่อลอยค่ะ เนื่องจากมักไม่ค่อยมีสมาธิ มองแต่วิวทิวทัศน์ภายนอกหน้าต่างจนไม่เป็นอันหลับนอน แต่ก็มีทางแก้ไขนะคะ เช่น การขยับเตียงไปตั้งตรงตำแหน่งใหม่ หรือหาผ้าม่านที่มีลักษณะผ้าหนา ๆ มาปิดหน้าต่าง เพื่อลดความอยากรู้อยากเห็นหรือความสนใจของเด็ก ก็พอจะช่วยได้

         นอกจากนี้แล้ว เราไม่ควรจัดห้องนอนให้เด็กโดยมีรูปร่างของห้องนอนที่บิดเบี้ยว หรือพิสดารจนเกินไปนักค่ะ พ่อแม่บางท่านอาจต้องการตกแต่งห้องนอนลูกให้มีรูปแบบที่สวยงาม หรือซับซ้อน โดยหวังจะให้ส่งเสริมจินตนาการหรือให้เด็กพอใจ แต่หารู้ไม่ว่า อาจทำให้เกิดผลร้ายต่อลูกตัวเองมากกว่า


      ทางที่ดีแล้ว เราควรเลือกห้องนอนเด็กเป็นห้องนอนสี่เหลี่ยมธรรมดา ๆ นี่ล่ะค่ะ ไม่ต้องตกแต่งจนเกินพอดี และควรคำนึงถึงความเหมาะสมในการใช้งานและให้ถูกหลักฮวงจุ้ยเท่านั้นเป็นพอนะคะ



อ้างอิงและเรียบเรียงข้อมูลจาก หนังสือตกแต่งบ้านตามหลักฮวงจุ้ย


สนับสนุนโดย   www.skythailandshop.com



















วันพฤหัสบดีที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

บรรยากาศภายในห้องนอน ทำอย่างไรจึงหลับสบาย

Posted by M.R. K | วันพฤหัสบดีที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555 | Category: | 0 ความคิดเห็น


 ปัจจุบันคนส่วนใหญ่มักมีปัญหาเรื่องการนอนหลับไม่สนิทหรือนอนหลับ ๆ ตื่น ๆ ตลอดทั้งคืน เพราะมีงานคั่งค้างที่ต้องทำให้เสร็จในวันถัดไป การตัดเวลานอนลงเพื่อทำในสิ่งต่าง ๆ ที่คิดว่าสำคัญกว่าจะมีผลต่อสุขภาพ การพักผ่อนอย่างเพียงพอเป็นเรื่องที่สำคัญ เพราะสมองจะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และทำให้ร่างกายแข็งแรง ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ วันนี้ผู้เขียนขอเสนอเคล็ดลับการนอนให้มีความสุขตลอดทั้งคืนที่รวบรวมจากเวปสุขภาพของอเมริกา ดังนี้


1. ตั้งใจและเห็นความสำคัญต่อการนอน ว่าเป็นสิ่งที่จำเป็นต่อสุขภาพ และทำให้ร่างกายมีพลังที่จะทำงานต่อในวันพรุ่งนี้และวันต่อๆไป


2. นอนหลับให้เพียงพอ โดยทั่วไปคนเราต้องการพักผ่อนประมาณ 7 – 8 ชั่วโมงต่อวัน หากเรารู้สึกเหนื่อยในระหว่างวัน หรือต้องใช้นาฬิกาปลุกให้ตื่นในเวลาเช้า หรือต้องดื่มเครื่องดื่มที่มีสารกระตุ้น เช่นกาแฟเพื่อให้ร่างกายกระฉับกระเฉง หรือในระหว่างการประชุมเรางีบหลับ หรือหลับตาพักผ่อน นั่นหมายความว่าเรานอนหลับไม่เพียงพอและแสดงให้เห็นว่าร่างกายต้องการพักผ่อนมากกว่าที่ได้รับอยู่



3. จัดห้องนอนใหม่ ให้มีอากาศถ่ายเทได้สะดวก มีบรรยากาศที่น่านอน ไม่มีแสงสว่างรบกวนมากจนเกินไป และใช้ผนังกั้นเสียงรบกวน โดยปกติร่างกายของเราจะมีอุณหภูมิที่ลดลงในเวลานอน ดังนั้นการเปิดเครื่องปรับอากาศหรือพัดลม ควรให้มีความเหมาะสมกับร่างกายของเรา


4. จัดตารางการนอนและทำให้เป็นกิจวัตร พยายามเข้านอนและตื่นตามเวลา มีบางคนปรับเวลาการนอนของตนเอง โดยใช้เวลาวันหยุด หรือสุดสัปดาห์เที่ยวและนอนดึก ทำให้ไม่ได้รับการพักผ่อนอย่างเพียงพอ บางครั้งจะเกิดอาการปวดศีรษะ และไม่มีสมาธิในวันทำงานในต้นสัปดาห์ตามมา ดังนั้นการปรับเปลี่ยนเวลานอนอาจทำให้มีปัญหาภายหลังได้


5. อย่าฝืนนอนหรือพยายามบังคับตนเองให้นอนหลับ หากมีปัญหาตื่นในช่วงกลางคืน ไม่ควรนอนจ้องเพดาน หรือพยายามนับเลข ควรลุกขึ้นและทำกิจกรรมที่ผ่อนคลายจะดีกว่า และกลับมานอนอีกครั้งเมื่อรู้สึกง่วง สร้างบรรยากาศในห้องนอนให้เป็นสถานที่ในการนอนมากกว่าสถานที่ตื่น หากเรามีความกังวลให้จดบันทึกถึงสิ่งที่ต้องทำในวันถัดไปก่อนประมาณ 1 ชั่วโมงก่อนเข้านอน วิธีนี้จะช่วยกำจัดความกังวลใจได้


6. กำจัดสิ่งรบกวนต่อการนอน ไม่ควรจัดให้มีทีวี หรือคอมพิวเตอร์ในห้องนอน เพราะสิ่งเหล่านั้นกระตุ้น และทำให้ร่างกายตื่นตัว งานวิจัยล่าสุดเปิดเผยว่าแสงจากทีวี และคอมพิวเตอร์ จะไปกระตุ้นฮอร์โมนในการนอน ดังนั้นให้เราตั้งเวลานอนไว้ ปิดทีวีและคอมพิวเตอร์หรือไฟต่าง ๆ ก่อนนอน 1 ชั่วโมง และปฏิบัติตามนั้นเป็นกิจวัตร ดีกว่าจัดให้มีสิ่งกระตุ้นมากมายในห้องนอน


7. หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอร์หรือเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนก่อนนอน เพราะสิ่งเหล่านี้จะทำให้รบกวนการนอน และกระตุ้นทำให้มักตื่นขึ้นกลางดึก แอลกอฮอล์ทำให้คลื่นความง่วงหมดไป ฤทธิ์ของมันทำให้นอนไม่หลับหรือหลับ ๆ ตื่น ๆ ในเวลากลางคืน



8. ตามรายงานของ National Sleep Foundation (NSF) แนะนำว่าโดยปกติเด็ก ๆ อายุ 3 – 5 ขวบใช้เวลานอนประมาณ 11 – 13 ชั่วโมง ในช่วงวัยเด็กจะใช้เวลานอนประมาณ 9 ชั่วโมงในวันที่ไปโรงเรียน เด็กอายุ 5 – 10 ปีควรนอน 10 – 11 ชั่วโมง เด็กอายุ 10 – 17 ปีควรนอน 8.5 – 9.5 ชั่วโมง และเด็กอายุ 18 ปีขึ้นไปต้องการ 7 – 9 ชั่วโมง

9. จัดเวลานอนเป็นเวลาที่สำคัญสำหรับทุกคนในครอบครัว จัดทำตารางประจำวันสำหรับเวลานอน เด็กในวัยเรียนต้องการการนอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอ ดังนี้การจัดเป็นกิจวัตรจะช่วยได้ เช่นหลังจากอาบน้ำ แปรงฟัน เล่าเรื่องแล้วเข้านอน เด็ก ๆ มักชอบงอแง และโยเยไม่ยอมนอน พยายามเลื่อนเวลานอนออกไป ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่ต้องเคร่งครัดกับช่วงเวลาดังกล่าว และจัดให้เป็นนิสัย


10. ใช้เวลานอนกลางวันช่วย หากคุณมีปัญหานอนไม่หลับในเวลากลางคืน อีกวิธีหนึ่งที่ช่วยได้ก็คือหาช่วงเวลาที่สามารถงีบหลับได้ในช่วงเวลากลางวันประมาณ1-2ชั่วโมง

การนอนหลับพักผ่อนเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างมากทั้งต่อร่างกายและสมอง ถ้าหากท่านมีอาการนอนไม่หลับที่ไม่รู้สาเหตุบ่อย ๆ ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อค้นหาสาเหตุที่แท้จริงและบำบัดรักษาต่อไป


ขอบคุณบทความดี ๆ จาก:   caochu.com

สนับสนุนโดย   www.skythailandshop.com